- โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ มีความห่วงใยในสุขภาพของท่านและลูกหลานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้มีการเปิดจองวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา (Moderna) ล็อตแรก ซึ่งเป็น Generation 1 จัดสรรโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชนผ่านองค์การเภสัชกรรม
- วัคซีนโมเดอร์นาเป็นวัคซีนชนิด mRNA โดยการใช้สารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นเสมือนการจำลองว่าไวรัสเข้ามาในร่างกายโดยไม่มีการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสร้างโปรตีนที่สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมา
- ผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนชนิด mRNA พบว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อ ลดอาการป่วย และลดจำนวนวันในการนอนโรงพยาบาลได้ ยังไม่มีข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ระยะยาว เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ แต่เบื้องต้นผลข้างเคียงที่มีโอกาสพบได้แต่น้อย ได้แก่ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้
- วัคซีนโมเดอร์นาแบบครบโดส จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 28 วัน
- รัฐบาลได้จัดสรรวัคซีนโควิด-19 สำหรับประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนการจองวัคซีนโควิด-19 ของสถานพยาบาลเอกชนเป็นทางเลือกที่ประชาชนสามารถเลือกรับบริการได้ แต่ต้องชำระค่าใช้จ่ายเอง
- ราคา 1,650 บาทต่อเข็ม ซึ่งราคานี้รวมค่าบริการโรงพยาบาล ค่าขนส่งจัดเก็บ รวมถึงค่าประกันภัยผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนแล้ว โดยค่าบริการดังกล่าวไม่รวมค่าแพทย์
- รายละเอียดประกันภัยผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา โดย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความคุ้มครอง ดังนี้
- การเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่า (Coma) โดยแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาไม่หาย หรือ กรณีเสียชีวิต อันเนื่องมาจากภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)* วงเงินคุ้มครอง 1,000,000 บาท
- การสูญเสียอวัยวะ (พิการ) อันเนื่องมาจากภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) วงเงินคุ้มครอง 500,000 บาทต่อโดส
- การรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน (IPD) เท่านั้น อันเนื่องมาจากภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) วงเงินคุ้มครอง 100,000 บาทต่อโดส (โดยมีระยะเวลาการคุ้มครอง 90 วันหลังจากรับวัคซีน และแพทย์ต้องลงความเห็นว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากวัคซีน)
- หากจองและชำระเงินแล้ว ตามเงื่อนไขจะไม่สามารถยกเลิกได้ในทุกกรณี เนื่องจากทางโรงพยาบาลได้วางเงินเต็มจำนวนกับทางองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ผู้รับบริการสามารถโอนสิทธิ์ให้กับบุคคลอื่นได้
- กำหนดการส่งมอบวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา ล็อตแรก ทางตัวแทนจำหน่ายและนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาได้ออกแถลงการณ์ถึงสมาคมโรงพยาบาลเอกชน (3 ต.ค. 64) คาดว่าจะเริ่มส่งมอบล็อตแรกได้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป
- ข้อมูลวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป (ภายหลังการฉีดไปแล้ว 14 วัน)
- ป้องกันและลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ 94.1%
- ป้องกันและลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ 86% ในผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ลดการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 96% ในผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- อาการที่อาจพบหลังฉีดวัคซีน ได้แก่ หนาวสั่น ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า ปวด มีรอยแดงและบวมบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้จะหายได้ภายใน 1-2 วันหลังฉีด
- ข้อมูลวัคซีนโมเดอร์นา สำหรับเด็กอายุ 12-17 ปี (จดทะเบียนยาโดยใช้ชื่อการค้า Spikevax)
- ป้องกันและลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ 93% หลังจากฉีดเข็มแรก และ 100% หลังจากฉีดเข็มที่ 2 (ภายหลังการฉีดไปแล้ว 14 วัน)
- อาการที่อาจพบหลังฉีดวัคซีน ได้แก่ ปวดและบวมบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรง และจะหายได้ภายใน 2-3 วันหลังฉีด - องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency : EMA) ได้อนุมัติให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาในเด็กอายุ 12-17 ปีแล้ว
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยอนุมัติใช้วัคซีนโมเดอร์นาเป็นกรณีฉุกเฉินในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี ในชื่อการค้าว่า Spikevax
- ข้อมูลวัคซีนโมเดอร์นา สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
- ขณะนี้องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US-FDA) ได้ขยายขอบเขตการทดลองใช้วัคซีนโมเดอร์นาไปยังเด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว
- ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย ยังไม่ได้รับรองวัคซีนโมเดอร์นา สำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ดังนั้นปัจจุบันวัคซีนที่ครอบคลุมให้ใช้ได้ในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ชนิด mRNA ในไทยยังคงมีชนิดเดียวคือวัคซีนโคเมอร์เนตี (Pfizer ฝาส้ม) เท่านั้น
- ข้อมูลจากผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา และผลการวิจัยต่าง ๆ ยืนยันว่า วัคซีนโมเดอร์นา Generation 1 มีประสิทธิภาพสูงในการรับมือกับเชื้อโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์เดลต้า
- ข้อแนะนำในการฉีดวัคซีน (สำหรับผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป)

- กรณียังไม่เคยฉีดวัคซีนใด ๆ สามารถฉีดวัคซีนโมเดอร์นาได้ทันที จำนวน 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างประมาณ 4 สัปดาห์
- กรณีเคยติดเชื้อและยังไม่เคยฉีดวัคซีนใด ๆ แนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา 1 เข็ม โดยเว้นระยะห่าง 30 วันขึ้นไป หลังจากวันที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19
- กรณีฉีด Sinovac หรือ Sinopharm 1 เข็ม แนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา 1 เข็ม โดยเว้นระยะห่าง 28-42 วัน
- กรณีฉีด AstraZeneca 1 เข็ม แนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา 1 เข็ม โดยเว้นระยะห่าง 1-3 เดือน
- กรณีฉีด Pfizer 1 เข็มแนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา 1 เข็ม โดยเว้นระยะห่าง 3-6 สัปดาห์
- กรณีฉีด Sinovac 2 เข็ม หรือ Sinopharm 2 เข็ม แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยหลังการรับวัคซีนครบ 2 เข็ม ระยะห่างรับเข็ม 3 เว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ขึ้นไป และระยะห่างรับเข็ม 4 เว้นระยะห่าง 3 เดือนขึ้นไปหลังจากเข็มที่ 3
- กรณีฉีด Sinovac 1 เข็ม หรือ Sinopharm 1 เข็ม และ AstraZeneca 1 เข็ม (สูตรไขว้) แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หลังการรับวัคซีนครบ 2 เข็ม ระยะห่างรับเข็ม 3 แนะนำให้เว้นระยะห่าง 3 เดือนขึ้นไป และระยะห่างรับเข็ม 4 เว้นระยะห่าง 3 เดือนขึ้นไปหลังจากเข็มที่ 3
- กรณีฉีด Sinovac 2 เข็ม หรือ Sinopharm 2 เข็ม และได้รับเข็มกระตุ้นด้วย AstraZeneca 1 เข็ม (สูตรไขว้) โดยหลักการสามารถรับวัคซีนโมเดอร์นาได้ ซึ่งการรับวัคซีนเข็ม 4 แนะนำให้เว้นระยะห่าง 3 เดือนขึ้นไปหลังจากเข็มที่ 3
- กรณีฉีด AstraZeneca 2 เข็ม สามารถเลือกรับวัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้นภูมิ โดยเว้นระยะห่างรับเข็มที่ 3 ประมาณ 3 เดือนขึ้นไปและระยะห่างรับเข็ม 4 ให้เว้นระยะห่าง 3 เดือนขึ้นไปหลังจากเข็มที่ 3
- กรณีฉีดวัคซีนชนิด mRNA เช่น ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มหรือโมเดอร์นา 2 เข็ม แนะนำให้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเว้นระยะห่างประมาณ 3 เดือนขึ้นไปสำหรับการรับวัคซีนเข็ม 3 และการรับวัคซีนเข็ม 4 แนะนำให้เว้นระยะห่าง 4 เดือนขึ้นไปหลังจากเข็มที่ 3
- เนื่องจากข้อมูลการใช้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่ 4 ในปัจจุบันมีการศึกษาในประชากรจำนวนไม่มากและเป็นการศึกษาระยะสั้น รายงานความปลอดภัยเบื้องต้นไม่พบความแตกต่างระหว่างอาการไม่พึงประสงค์จากการรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 กับอาการไม่พึงประสงค์จากการรับวัคซีนเข็มที่ 3 คำแนะนำในการใช้วัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 จึงพิจารณาจากข้อมูลผลดี-ผลเสียในเบื้องต้นเท่านั้น การยอมรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 จึงเป็นสิทธิ์ของผู้รับวัคซีน โดยพิจารณาถึงผลดีของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้า กับอาการไม่พึงประสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการรับวัคซีนต่างชนิด ทั้งนี้การเลือกรับวัคซีนควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ข้อดีของการฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์
- ฉีดโดยพยาบาลวิชาชีพที่มีความชำนาญการ
- กรณีที่ผู้รับวัคซีนเป็นเด็กอายุ 12-17 ปี จะอยู่ภายใต้การดูแลของกุมารแพทย์และพยาบาลวิชาชีพ
- ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลการรับวัคซีนได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน PRINC HEALTH หรือดาวน์โหลดได้ที่ https://bit.ly/3n2Qag1
- โรงพยาบาลมีมาตรฐานและความปลอดภัยในระดับสูง
- มีการจองคิวและนัดหมายวันล่วงหน้า จึงไม่จำเป็นต้องมารอที่โรงพยาบาลนาน
- มีการแยกพื้นที่ฉีดวัคซีนเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกับผู้เข้ารับบริการโดยทั่วไป
- ท่านสามารถย้ายจากล็อตแรกไปเป็นล็อตเพิ่มเติมได้ด้วยการแจ้งความจำนงค์ในขั้นตอนการนัดหมายวันและเวลาเข้ารับวัคซีนโดยจะต้องเข้ามารับการฉีดก่อนถึงวันหมดอายุของวัคซีน หากท่านไม่สามารถเดินทางเข้ามารับวัคซีนในช่วงเวลาดังกล่าวได้ ท่านสามารถโอนสิทธิ์วัคซีนให้กับผู้อื่นได้ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งกำหนด)
ทั้งนี้หากท่านมีข้อสงสัย สามารถตรวจสอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ได้ที่ https://www.princhealth.com/moderna-faq/ หรือโทรสอบถามได้ที่ Call Center 02 0805 999
หมายเหตุ
- แนวทางการรับวัคซีนดังกล่าวเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นโดยพิจารณาถึงภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีนเมื่อเทียบเคียงกับงานวิจัยที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นคนละส่วนกับแนวทางหรือเงื่อนไขการรับวัคซีนแบบครบโดสเพื่อวัตถุประสงค์ในการเดินทางไปยังต่างประเทศ ซึ่งท่านจำเป็นต้องศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละประเทศนั้นก่อนตัดสินใจเข้ารับวัคซีน โดยปัจจุบัน WHO รับรองวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตจากบริษัท Siam Bioscience แล้ว
- ถึงแม้วัคซีนสูตรไขว้ในปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติทั้ง SV+AZ หรือ AZ+PZ แต่ถือว่าเป็นสูตรเฉพาะกิจ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงระยะสั้นสูงขึ้นบ้าง แต่โดยรวมยังคงมีความปลอดภัยสูง ทั้งนี้เมื่อมีวัคซีนอย่างเพียงพอยังคงแนะนำให้กลับไปใช้วัคซีนสูตรปกติที่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19
- โรงพยาบาลฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อแนะนำหรือข้อบ่งชี้ในการฉีดวัคซีน เมื่อมีข้อมูลหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเติม
ข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2565 ซึ่งข้อมูลนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามข้อแนะนำหรือข้อบ่งชี้จากองค์การอนามัยโลก (WHO), ภาครัฐ หรือบริษัทผู้ผลิตวัคซีนทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า